
มุมมองอาจารย์กับการจัดการความเครียด 101 [ Season 3] EP.4 : ศ.ดร.กำชัย จงจักรพันธ์
บทสัมภาษณ์โดยศูนย์ดูแลสุขภาวะของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Law TU Health & Wellness)
สำหรับบทสัมภาษณ์ของศูนย์ดูแลสุขภาวะของนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (Law TU Health & Wellness) สุดท้ายประจำปีการศึกษา 2567 พบกับ ศาสตราจารย์ ดร.กำชัย จงจักรพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์ Law TU Health & Wellness และผู้ช่วยคณบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา
Q1: อันดับแรก อยากให้อาจารย์เล่าประวัติส่วนตัวเกี่ยวกับแรงบันดาลใจที่ได้ตัดสินใจมาศึกษาที่คณะนี้ หรือเรื่องในชีวิตวัยนักศึกษาของอาจารย์ค่ะ
A1: ผมได้รับคำแนะนำจากคุณครูที่โรงเรียนศึกษานารี ว่าควรจะลองไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยดู สมัยนั้นเรียกกันว่าสอบเอนทรานซ์ ผมยังไม่รู้ว่าควรจะเรียนคณะไหนดี แต่ด้วยความที่เรียนภาคค่ำ หัวก็ไม่ค่อยดี สายวิทย์คณิตครูบอกว่าเธอเรียนไม่ได้ เหลือแค่สายศิลป์ที่พอเรียนได้ ได้รับคำแนะนำจากครูให้เรียนนิติศาสตร์ก็สมัครสอบตามที่ครูแนะนำ ขยันดูหนังสือสอบก็เพราะว่าครูและพี่สาวปรารถนาดีต่อเรา และโชคดีที่ส่วนตัวก็เริ่มคิดเป็น คิดได้แล้วว่า ความรู้นี่สำคัญที่จะทำให้ชีวิตเรามั่นคงก้าวหน้าได้ ความมุ่งมั่นตั้งใจก็มาละ
ช่วงนั้นไม่รู้เลยว่านิติศาสตร์ต้องเรียนอย่างไร ต้องถนัดอะไร จบแล้วทำงานอะไรได้บ้าง เรียนนิติศาสตร์ที่ใดดี ไม่รู้อะไรสักอย่าง ซึ่งไม่ดีเลย แต่โชคดีที่ได้ครูและพี่สาวแนะนำสนับสนุนและบังเอิญเมื่อเข้ามาเรียนแล้วผมก็พอไปได้จึงไม่เกลียดวิชากฎหมาย ผมรู้และสัมผัสได้ว่าเพื่อนที่ไม่ชอบเรียนนิติศาสตร์มีทุกข์อย่างไร เมื่อผมมาเป็นคณบดีนิติศาสตร์ ผมจึงริเริ่มโครงการ “ค่ายค้นตนเอง” เป็นครั้งแรกในประเทศไทย หรือที่นิยมเรียกกันว่า Pre- camp เพื่อให้โอกาสแก่นักเรียนที่ยังไม่รู้ว่านิติศาสตร์เรียนอย่างไร ต้องมีความถนัดเรื่องอะไรบ้าง สภาพการเรียนการสอนนิติศาสตร์เป็นอย่างไร จบแล้วจะประกอบอาชีพใดได้บ้าง คือสร้างค่ายให้นักเรียนได้มาทดลองเป็นนักศึกษากฎหมายจริง ๆ ภายใต้การบริหารจัดการโดยคณะกรรมการนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ (กศน.) และเมื่อจบ 4 ปี ก็จัดให้มีค่ายคุณธรรมจริยธรรม (ค่ายเตรียมความพร้อมก่อนเป็นบัณฑิต) ซึ่งอาจเรียกได้ว่าเป็นโครงการปิดท้าย เพื่อเตรียมบัณฑิตนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ให้ “เก่ง ดี สุข” อย่างเข้มข้นอีกครั้งหนึ่ง ก่อนออกไปเป็นบัณฑิตที่สังคมต้องการ
Q2: แล้วตอนที่อาจารย์เข้ามาเรียนแล้วอยากทราบว่าความรู้สึกเป็นยังไง หมายถึงว่าได้ลองมาเรียนจริง ๆ แล้วรู้สึกว่าเป็นเส้นทางที่ถูกหรือเปล่า หรือว่าคิดว่ามันเป็นความท้าทายรูปแบบไหนบ้าง
A2: ในแง่เนื้อหาวิชานิติศาสตร์ เรียนแล้วก็ชอบ ในแง่ของการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยก็ยิ่งชอบใหญ่ ธรรมศาสตร์มีกิจกรรมหลากหลายให้เลือกเข้าร่วมมากมาย สำหรับผมแล้ว โลกที่เคยรู้จักเปลี่ยนไปเลย ในแง่ของความสนุนสนานเฮฮา ผมสนุกกับกิจกรรม สนุกกับเพื่อนใหม่ สนุกกับบรรยากาศใหม่ ๆ ก็สนุกจนลืมเรียนหนังสือเลย (ฮ่าๆๆ) และมีความประทับใจ “พี่เลี้ยง” มาก ธรรมศาสตร์ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยที่อยู่แล้วมีความสุข สนุกสนาน แต่ธรรมศาสตร์ยังส่งผ่านความเป็นผู้ใหญ่ ส่งผ่าน “ความคิดและวิธีคิด” ที่ผมไม่เคยมองเลย แนวคิดของคำว่า “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ : มหาวิทยาลัยประชาชน” ที่ผมใช้ในการนำเสนอสภามหาวิทยาลัยเมื่อครั้งเป็น candidate อธิการบดี ก็กำเนิดจากจุดนี้ครับ
ในแง่การเรียน ผมชอบวิชานิติศาสตร์จึงไม่มีอะไรท้าทายมากนัก มีแต่พยายามค้นหาวิธีการเรียน การตอบข้อสอบที่ดีที่เหมาะกับตนเอง อันนี้ก็เป็นที่มาของหนังสือคู่มือนิติกรรมและสัญญาในปี 2532 ความท้าทายส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเรียนรู้ด้านความคิด การทำกิจกรรม และที่ท้าทายที่สุดก็คือ จะทำอย่างไรให้สามารถทำกิจกรรมได้เต็มที่อย่างที่อยาก โดยที่การเรียนยังพอไปได้ ยังพอได้มาตรฐาน ผมเริ่มตกผลึกทางความคิด ไม่อยากเป็นจิ้งหรีดที่สนุกสนานเฮฮาอย่างเดียว ไม่อยากเป็นหนอนหนังสืออย่างเดียว และก็ไม่อยากเป็นหนูซึ่งหมายถึงเอาแต่ขลุกอยู่กับงานกิจกรรมจนทำให้การเรียนย่ำแย่ แต่อยากใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยให้หลากหลาย จึงต้องเป็นนก ประสานให้ได้ทั้งชีวิตที่สนุกสนาน มีความสุข ได้ทำกิจกรรมฝึกฝนขัดเกลาตัวเองทั้งความคิด
Q3: คิดว่าส่วนหนึ่งที่อาจารย์อาจจะได้ enjoy ในโมเม้นนั้นคิดว่ามีผลมาจากการที่ความถนัดของวิชายังตรงกับความถนัดของอาจารย์ด้วยไหมคะ ก็คือเป็นสิ่งที่ชอบ
A3: เรียนในสิ่งที่ชอบ vs ชอบในสิ่งที่เรียน หากทุกคนได้เรียนในสิ่งที่ตนเองชอบ เรื่องที่ตนเองถนัด น่าจะเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน แต่ในขณะที่เลือก ผมไม่รู้ตัวเองเสียด้วยซ้ำว่าผมชอบอะไร และต้องการเรียนวิชาใด นิติศาสตร์เรียนอย่างไรก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าจะต้องตั้งใจเรียนเพราะความรู้เป็น “สิ่งมีค่า” เมื่อตั้งใจ ก็ขยัน เมื่อขยันตั้งแต่ไม่ค่อยรู้เรื่อง ก็ค่อยๆ รู้ ตั้งแต่คะแนนไม่ดีเลย ก็ค่อย ๆ ดีขึ้นจนผม “ชอบในสิ่งที่เรียน” และแน่นอนเมื่อการเรียนไม่มีอุปสรรคอะไร ผมก็ enjoy ชีวิต 3 ปีครึ่งในรั้วมหาวิทยาลัย และผมอาจจะแตกต่างจากคนอื่นตรงที่ผม enjoy กับงานกิจกรรมมาก มิได้หมายความว่าผมไม่มีปัญหาอุปสรรคหรือไม่มีความทุกข์ใด ๆ จากกิจกรรมนะ กลับกันเลย บางครั้งผมเครียด กลุ้มใจ ไม่เข้าใจ สับสน ทะเลาะกับเพื่อน มีปัญหากับรุ่นพี่ มีหลากหลายอารมณ์มาก แต่โดยสรุป ผมก็ยังแนะนำให้นักศึกษาทุกคนทำกิจกรรมควบคู่ไปกับการเรียนนะ
Q4: อาจารย์อาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่าแต่ละคนอาจจะมีรูปแบบในการคิด processing ใน thought ไม่เหมือนกันใช่ไหมคะ ส่วนตัวหนูคิดว่าอย่างในนิติมันอาจจะใช้ความ precise ค่อนข้างเยอะ อาจารย์คิดว่ามีคำแนะนำยังไงจะให้กับนักศึกษาที่อาจจะเรียกว่ามีความคิดเป็นนามธรรมซะส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่จะมานั่งจำประมวลหรือว่าอะไรอย่างนี้ให้เป็น exact word อาจจะค่อนข้างยากสำหรับเขา ก็คือมีรูปแบบการเรียบเรียงไม่ตรงกับความถนัดของวิชา
A4: เรียนกฎหมาย ไม่ใช่การ focus ที่การจำประมวลหรือจำตัวบทกฎหมายนะครับ ผม focus การสอนที่การให้ข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ การคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ ความเข้าใจในเจตนารมณ์ของกฎหมาย เน้นเรื่องนิติวิธี วิธีคิดและการให้เหตุผลอย่างนักกฎหมาย ฯลฯ มีหลักคิด หลักกฎหมาย ทฤษฎีต่าง ๆ มากมาย ที่เราต้องศึกษาแต่ละวิชาตลอดหลักสูตร ก็อย่างที่นักศึกษาและเพื่อน ๆ นั่งเรียนอยู่
เมื่อศึกษาจนเข้าใจถ่องแท้ ชัดเจน การจำหลักกฎหมายได้ก็มีส่วนสำคัญ เพราะหลักกฎหมายคือ authority ที่ใช้การตอบปัญหา ตลอดชีวิตการศึกษาและการปฏิบัติในวิชาชีพจะมีหลักกฎหมายที่สำคัญ ๆ มากมาย และทุก ๆ หลักกฎหมายจะเกี่ยวพันเกี่ยวโยงกันหมด ไม่สามารถแยกเป็นเรื่อง ๆ เป็นชิ้น ๆ ได้ เมื่อมีข้อเท็จจริงให้นักกฎหมายวินิจฉัย ความจำได้ของหลักกฎหมายต่าง ๆ ทั้งหมดโดยเฉพาะที่เป็นหลักสำคัญจะทำให้เราสามารถประมวลความรู้ทั้งหมดนำไปสู่คำตอบคำวินิจฉัยได้ตรงประเด็นและถูกต้อง
ความรู้ ความเข้าใจเป็นตัวนำ ความจำได้เป็นส่วนเสริมที่สำคัญ แน่นอนหลักกฎหมายมีมากมายมหาศาล ไม่มีใครจำได้ทุกเรื่อง และเมื่อมีปัญหานักกฎหมายก็ต้องเปิดตัวบทกฎหมายอยู่ดี แต่ข้อเท็จจริงนี้มิได้หมายความว่า นักกฎหมายสามารถละเลยความรู้ความเข้าใจตัวบทกฎหมายและ การจดจำหลักตลอดจนความรู้ความเข้าใจในหลักกฎหมายนั้น ๆ ได้
focus ที่สาระสำคัญของหลักกฎหมาย มิได้ focus ที่ exact word ครับ แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนิติศาสตร์เป็นศาสตร์ที่อยู่กับตัวหนังสือ ถ้อยคำบางถ้อยคำ exact word บัญญัติว่าอย่างไรก็อาจจะมีความสำคัญมากเป็นพิเศษก็ได้ ซึ่งนักกฎหมายที่มีความรู้ความเข้าใจหลักกฎหมายดีแล้ว ก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้
คนเข้าใจคลาดเคลื่อนว่านิติศาสตร์คือท่องเป็นหลัก ไม่ใช่ คนเรียนนิติศาสตร์คือคนที่เก่งท่องจำแล้วจะประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เลย ทุกคนทุกศาสตร์เริ่มต้นด้วยความเข้าใจทั้งสิ้น และอาจารย์ในคณะก็สอนให้เราเข้าใจเป็นพื้นฐานทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าจำเป็นต้องทำซ้ำจนเราเกิดความแม่นยำในหลักกฎหมายตามสมควร
Q5: คำถามต่อมา ในช่วงที่อาจารย์เป็นนักศึกษาอยู่อาจจะเผชิญหน้ากับความยากลำบาก ความท้าทาย หรือความกดดันในรูปแบบต่างๆ ไม่ทราบว่าอาจารย์จะสามารถแชร์แล้วบอกวิธีที่อาจารย์ก้าวข้ามผ่านความเครียดไปได้ไหมคะ
A5: ผมเป็นคนเอาจริงเอาจังในงานที่ตัวเองทำ ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานที่เราอาสาไปทำเอง หรือไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานที่เพื่อนหรืออาจารย์หรือใครมอบหมายและเราตัดสินใจทำ พอเรารับหน้าที่ที่จะทำอะไรแล้วก็จะซีเรียสนะ เป็นบุคลิกผม พอเอาจริงเอาจัง ซีเรียสก็เครียด คือคิดหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้น ส่วนตัวไม่เห็นเป็นปัญหาใหญ่ มันดีกว่าคนไม่ซีเรียส ไม่เอาจริงเอาจัง ชีวิตเรื่อยเปื่อยไม่มีอะไรจริงจังสักเรื่อง
ผมจริงจัง แต่จะมีหลักคิดกับตัวเองเสมอว่า ‘ทำให้เต็มที่ ทำให้หมดมือเรา’ ทำเสร็จก็จะสบายใจส่วนผลลัพธ์ที่จะเกิดหรือความสำเร็จโดยองค์รวมมันจะออกมายังไง ทำใจไว้ตั้งแต่ต้น หากผลลัพธ์ไม่ดีก็ไม่เป็นไร ก็กลับมาทบทวน แค่นั้น ขอให้ทุกครั้งที่เราทำงานของเรา เราใส่ใจลงไปเต็มที่ ตั้งใจทำผลงานนั้นดีที่สุด สิ่งที่เรียนรู้มาตั้งแต่เด็กคือแม่สอนว่า ‘ทำงานของเราให้เต็มที่’ หมดมือเราแล้วก็สบายใจ ผลออกมาดีเราก็มีความสุข ผลออกมาไม่ดีก็ทบทวนไว้เป็นบทเรียน let it go
อีกประการหนึ่งที่ช่วยให้ก้าวข้ามไปได้คือเล่นกีฬาและออกกำลังกาย ถามว่ามันช่วยได้เยอะไหม สำหรับผมช่วยได้ ทุกครั้งที่ไปออกกำลังกายไปเล่นกีฬา เหงื่อออกก็ผ่อนคลาย แฮปปี้
แล้วก็คบเพื่อน การคบเพื่อนที่หลากหลาย ผมคบเพื่อนได้ทุกประเภท ความแตกต่างของเพื่อนกับเราไม่เคยเป็นเรื่องที่ผมกลุ้มใจเพราะผมเชื่อว่าคนไม่เหมือนกันหรอก เราให้ที่ยืนกับเพื่อน เพื่อนก็ให้ที่ยืนกับเราบ้าง เช่น ไปเที่ยวด้วยกันเพื่อนอยากไปทะเลเราก็ตามใจเพื่อน พอไปเที่ยวครั้งที่ 2 เพื่อนที่ดีเนี่ยเขาก็พร้อมจะตามใจเราไปภูเขาบ้าง
เพราะฉะนั้นเรื่องความเครียดถามว่ามีไหม มีอยู่แล้ว แล้วก็ไม่เคยรู้สึกว่าความเครียดเป็นเรื่องเสียหายสำหรับความคิดผม เพียงแต่ว่าก็ต้องเครียดให้ถูกเรื่อง มีวิธีจัดการความเครียด เสร็จแล้ว ผ่านไปแล้วก็จบ
Q6: นักศึกษาหลาย ๆ คนที่เข้ามาอาจจะทั้งยังปรับตัวไม่ได้ หรือไม่ว่าจะเป็นด้านของสภาพแวดล้อมหรือว่าด้านการเรียนเอง หรืออาจจะทำผลลัพธ์ได้ไว้ไม่ค่อยดีในเทอมแรกหรือว่าในบางวิชา อาจารย์อยากให้กำลังใจหรือมีคำแนะนำยังไงบ้างคะ
A6: ชีวิตยังอีกยาวครับนักศึกษา สมัยก่อน อาจารย์เคยคิดว่าตนเองเสียเปรียบ เพราะเรียนไม่เก่ง ภาษาก็แย่ อายุก็มาก ไปเรียนต่อต่างประเทศก็ช้ามาก ชาวบ้านธรรมดา ฐานะก็ไม่ได้ร่ำรวย ไม่ได้มีอะไรดีสักอย่าง เรียนกฎหมายวิชาแรกก็ได้แค่ 69 คะแนน เราก็จะมีความรู้สึก inferior อยู่นิด ๆ จุดเปลี่ยนของวิธีคิด ก็แค่ประโยคเดียวครับ No one can make you inferior without your consent. ยอมรับข้ออ่อนของตัวเราและเริ่มต้นสู้ 3 คำเท่านั้นที่ผมเชื่อว่าจะพาชีวิตเราเดินไปข้างหน้าได้ คือ “ขยัน ขยัน และขยัน” ครับ
ชีวิตเนี่ยนะมันอีกยาว บางคนดีมากเลยตอนต้น มาล้มเหลวตอนกลางหรือตอนปลาย บางคนดีมาตลอดชีวิต เสียคนตอนแก่ ความผิดพลาด ความล้มเหลว ความไม่ได้ดั่งใจทั้งหลายเกิดขึ้นได้เสมอกับทุกคน มันเป็นบทเรียนที่มีค่าทั้งนั้น สำคัญคือนำมันมาเป็นบทเรียนแล้วลุกขึ้นสู้ ขยัน ขยัน และขยัน ครับ ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มต้นใหม่ สตาร์ทให้ดีได้ตลอดเวลา นักศึกษาเพิ่งอายุเท่านี้ไม่มีอะไรสายเลย ขอเป็นกำลังใจให้กับนักศึกษาทุกคนครับ
Q7: อาจารย์คิดว่ามีความเห็นยังไงกับสภาพแวดล้อมและสภาพการเรียนของคณะนิติศาสตร์ต่อตัวนักศึกษาในตอนนี้ คิดว่ามีอะไรต้องปรับปรุงไหม เพื่อที่จะมีความเป็นมิตรกับสุขภาพจิตของนักศึกษามากขึ้น
A7: คณะและมหาวิทยาลัยเปรียบเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของนักศึกษา บ้านก็ต้องอยู่สบาย เอื้อต่อการเรียนรู้ การใช้ชีวิต การเล่นกีฬา การออกกำลังกายและการทำกิจกรรมของนักศึกษา ในช่วงปี 2540-2550 ที่ผมเห็นมหาวิทยาลัยมาก ๆ ละเอียด ๆ ได้อยู่คลุกคลีกับนักศึกษา ทั้งสอนหนังสือ ทำกิจกรรม ตีเทนนิส เล่นบาส วิ่ง และหลายครั้งก็นอนที่มหาวิทยาลัย ในฐานะรองอธิการบดีฝ่ายการนักศึกษาและคณบดีคณะนิติศาสตร์ก็ได้ปรับปรุงพัฒนาในทุกเรื่องเพื่อให้ธรรมศาสตร์น่าอยู่มากที่สุด และผมก็ยังเชื่อว่าคณะและมหาวิทยาลัยทุกวันนี้ก็ยังเห็นความสำคัญอยู่ แต่โลกเปลี่ยนไปมาก รายละเอียดต่าง ๆ ก็ต้องปรับปรุงพัฒนาให้เท่าทันด้วย ในอดีตไม่มีกิจกรรมเกี่ยวกับการดูแลชีวิตจิตใจนักศึกษา ปัจจุบันก็มีแล้ว เช่น Law TU Health & Wellness ซึ่งเห็นว่าดีมาก ๆ
ทุกวันนี้ในฐานะอาจารย์ผู้สอน นอกจากหน้าที่ในการสอนให้ดีที่สุดแล้ว ก็พยายามเป็นมิตร เป็นครูที่นักศึกษาเข้าถึงได้ เปิดโอกาสให้นักศึกษาซักถาม ชวนนักศึกษาคุยในเวลาเช้าก่อนเริ่มเรียน สร้างบรรยากาศความเป็นกันเองให้นักศึกษากล้าที่จะมาพูดคุย ซักถามอาจารย์ มอบหนังสือเป็นรางวัลให้แก่นักศึกษาที่มีคำถาม ที่ขยันมาเรียน ฯลฯ ก็ดีใจที่นักศึกษามาชวนคุย มาขอสัมภาษณ์ครับ
คณาจารย์ อ.ที่ปรึกษา อ.ผู้สอน รวมทั้งผมยินดีที่จะพูดคุยแลกเปลี่ยนให้คำปรึกษาแนะนำแก่นักศึกษาเพื่อช่วยแก้ไขปัญหา หรือนักศึกษาอาจเลือกขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางก็ได้ด้วยนะครับ