อัปเดตคำพิพากษาศาลฎีกาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3965/2564 (ประชุมใหญ่)
ประเด็น : เช่าซื้อ ค้ำประกัน เลิกสัญญา
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสอง เรียกค่าขาดราคา 150,000 บาท และค่าขาดประโยชน์ 110,000 บาท (รวม 260,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันฟ้อง)
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระ 33,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้อง ให้ร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขาดราคา 72,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ 33,000 บาท (รวม 105,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับถัดจากวันฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ) ซึ่งประเด็นค่าขาดประโยชน์ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับอนุญาตฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดราคาแก่โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์มีหนังสือเอกสารหมาย จ.7 แจ้งให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระทั้งหมดภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว แต่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ก่อนครบกำหนดเวลาในหนังสือบอกกล่าว สัญญาเช่าซื้อจึงยังไม่เลิกกัน การที่จำเลยที่ 1 นำรถไปส่งมอบคืนและโจทก์รับมอบโดยมิได้โต้แย้งคัดค้าน จึงเป็นเรื่องสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยาย ทั้งสองฝ่ายไม่มีสิทธิหน้าที่ใด ๆ ตามสัญญาต่อกันอีก โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 13 และประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจให้ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2555 ข้อ 4 (5) ก. และ ข. โจทก์มิได้ขายรถยนต์ตามสภาพที่รับมาจากจำเลยที่ 1 นั้น
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 14 เป็นต้นมา 3 งวดติดกัน โจทก์จึงมีหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย จ.7 ลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2558 ทวงถามให้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างรวม 6 งวด ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ หากพ้นกำหนดแล้วไม่ชำระให้ถือเอาหนังสือฉบับนี้เป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันที ซึ่งแม้พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาปรากฏเหตุขัดข้องที่ส่งหนังสือบอกกล่าวทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ เพราะเหตุว่าจำเลยที่ 1 ไม่มารับภายในกำหนดตามซองจดหมายและใบตอบรับในประเทศเอกสารหมาย จ.8 แต่กรณีดังกล่าวสัญญาเช่าซื้อข้อ 17 วรรคสาม ให้ถือว่าได้มีการส่งหนังสือบอกกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 โดยชอบแล้ว โดยเนื้อความในหนังสือบอกกล่าวข้างต้นเป็นเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 10 (ก) ที่ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจให้ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2555 เอกสารหมาย จ.15 ข้อ 4 กำหนดให้สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ที่ผู้ประกอบธุรกิจทำกับผู้บริโภคต้องมีข้อสัญญานี้ด้วย ด้วยข้อสัญญาดังกล่าวมีผลให้โจทก์ไม่อาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเพราะเหตุผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อก่อนครบกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือบอกกล่าวได้ กลับกันจำเลยที่ 1 ยังมีสิทธิชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างตามที่บอกกล่าวภายใน 30 วัน เพื่อมิให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเพราะเหตุจำเลยที่ 1 ผิดนัดผิดสัญญา แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าวันที่ 31 มีนาคม 2558 จำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ไม่รอให้ล่วงพ้นกำหนดเวลา 30 วัน โดยไม่มีข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งอย่างอื่น ตามหนังสือแสดงเจตนาคืนรถเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 พฤติการณ์เท่ากับจำเลยที่ 1 ยอมรับว่า อย่างไรเสียก็จะไม่ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระให้แก่โจทก์ภายในกำหนดเป็นแน่ และไม่ประสงค์ที่จะชำระเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเพื่อให้สัญญาเช่าซื้อมีผลผูกพันต่อไป ซึ่งจำเลยที่ 1 สามารถดำเนินการได้เนื่องจากไม่มีข้อสัญญาห้ามมิให้ผู้เช่าซื้อกระทำการเช่นนั้น พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาเพราะเหตุที่โจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยมีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อรับทราบโดยชอบแล้ว โดยที่โจทก์หาจำต้องโต้แย้งคัดค้านการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแต่อย่างใดไม่ ทั้งการส่งมอบรถยนต์คืนเช่นนี้มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยที่ 1 ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 12 ที่กำหนดให้สิทธิจำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อในเวลาใด ๆ เสียก็ได้ ด้วยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีให้แก่โจทก์ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกาและที่โจทก์แก้ฎีกา เนื่องจากข้อ 12 ดังกล่าวกำหนดว่าจำเลยที่ 1 ต้องชำระเงินทั้งปวงที่ถึงกำหนดชำระหรือเป็นหนี้ตามสัญญาอยู่ในเวลานั้นทันทีด้วย และถือไม่ได้ว่าเป็นการสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยายดังที่ฎีกา
ส่วนที่จำเลยที่ 1 ฎีกาทำนองว่า โจทก์ปฏิบัติฝ่าฝืนสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 13 และประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาฯ ข้อ 4 (5) ก. และ ข. นั้น แม้สัญญาเช่าซื้อ ข้อ 13 กำหนดว่า โจทก์จะมีหนังสือแจ้งชื่อผู้ทำการขาย วัน เวลา สถานที่ที่ทำการขาย ราคาที่ขายได้ และรายละเอียดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขายเพียงเท่าที่ได้ใช้จ่ายไปจริงโดยประหยัดตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร รวมทั้งจำนวนเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญา ในกรณีการขายโดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาดที่เหมาะสมให้จำเลยที่ 1 ทราบภายใน 15 นับแต่วันที่ทำการขาย แต่สัญญาข้อ 13 ดังกล่าว ตลอดจนประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาฯ ข้อ 4 (5) ข. หาได้กำหนดว่า หากโจทก์ไม่แจ้งรายละเอียดต่าง ๆ ข้างต้นแล้ว ให้ถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นอันหลุดพ้นความรับผิดในส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาแต่อย่างใดไม่ ทั้งประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาฯ ข้อ 4 (5) ก. กำหนดว่า ก่อนขายให้บุคคลอื่น ผู้ให้เช่าซื้อต้องแจ้งล่วงหน้าให้ผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกันทราบ เป็นหนังสือไม่น้อยกว่า 7 วัน เพื่อให้ผู้เช่าซื้อใช้สิทธิซื้อได้ตามมูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ประกาศฉบับดังกล่าวหาได้กำหนดว่า ก่อนนำรถยนต์ออกขายให้บุคคลอื่น ผู้ให้เช่าซื้อต้องแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้เช่าซื้อทราบชื่อผู้ทำการขาย วัน เวลา สถานที่ที่ทำการขายก่อนแต่อย่างใดไม่ ส่วนที่สัญญาข้อ 13 กำหนดด้วยว่า โจทก์จะนำรถยนต์ตามสภาพที่รับคืนออกขายให้แก่บุคคลอื่น แต่ระยะทางการใช้งานตามที่ระบุในหนังสือแสดงเจตนาคืนรถเอกสารหมายเลข จ.10 กับ รายงานการประมูลและบันทึกการขายรถยึดเอกสารหมาย จ.14 แสดงให้เห็นว่ามีการใช้งานรถยนต์คันที่เช่าซื้อภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบคืนแก่โจทก์แล้วนั้น เนื่องจากโดยปกติรถยนต์สามารถเคลื่อนย้ายได้ด้วยการขับ เมื่อจำเลยที่ 1 นำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปคืนโจทก์ก็มีความจำเป็นที่โจทก์จะต้องนำไปเก็บรักษารวมถึงนำออกขายซึ่งจะต้องมีการเคลื่อนย้ายด้วยการขับไปยังที่ต่าง ๆ และเมื่อพิจารณาถึงระยะทางที่ระบุในเอกสารหมาย จ.10 กับ จ.14 เปรียบเทียบกันแล้ว จะเห็นได้ว่าในวันที่นำออกขายรถยนต์คันดังกล่าวมีระยะทางการใช้งานเพิ่มขึ้นอีกเพียง 52 กิโลเมตร ซึ่งนายสะอาด สุวรรณศิริ ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์ก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 1 ว่า ระยะทางที่แตกต่างกันน่าจะเป็นช่วงที่มีการเคลื่อนย้ายรถไปเก็บหรือนำไปประมูลขาย กรณีจึงยังไม่พอรับฟังได้ว่าโจทก์นำรถยนต์คันที่เช่าซื้อไปใช้ดังที่จำเลยที่ 1 ฎีกา
ส่วนหนังสือแสดงเจตนาคืนรถและตรวจสภาพรับรถเอกสารหมาย จ.10 ระบุถึงสภาพตัวถังรถเพียงว่า มีรอยขีดข่วนรอบคัน บังโคลนมีรอยขีดข่วนลึก แต่รายงานการประมูลและบันทึกการขายรถยึดเอกสารหมาย จ.14 กลับระบุว่า สภาพรถกระจกหน้าแตก กันชนหน้าซ้ายครูด ไฟเลี้ยวกระจกมองข้างซ้ายแตก กระบะซ้ายครูด กระบะขวาบุบ กันชนท้ายบุบ ขูดขีดรอบคัน นั้น แม้หากรับฟังว่าเกิดความเสียหายแก่รถยนต์คันดังกล่าวเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์แล้ว แต่ความเสียหายตามที่ระบุในเอกสารหมาย จ.14 ที่เพิ่มขึ้นนี้ เห็นได้ว่าเป็นเพียงรอยครูด รอยบุบ กระจกหน้าและไฟเลี้ยวกระจกมองข้างซ้ายแตก เป็นความเสียหายในส่วนสภาพภายนอกของรถยนต์เพียงเล็กน้อยและไม่มีผลกับโครงสร้างหลักของรถยนต์ตลอดจนเครื่องยนต์ที่จะส่งผลกระทบต่อการขับขี่อันจะเป็นเหตุให้ราคาของรถยนต์ต้องลดน้อยถอยลงไปอย่างมาก ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์นำรถยนต์คันดังกล่าวออกประมูลได้ในราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเงิน 535,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้นำสืบหักล้างให้เห็นว่า รถยนต์ยี่ห้อและรุ่นเดียวกันนี้ซึ่งมีสภาพ อายุการใช้งาน ตลอดจนระยะทางการใช้งานที่ใกล้เคียงกันมีราคาซื้อขายในท้องตลาดเท่าใด จำเลยที่ 1 เพียงแต่อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความลอย ๆ ว่า ต้องขายได้มากกว่า 535,000 บาท ประกอบกับศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็วินิจฉัยปรับลดค่าขาดราคาลงจากที่โจทก์เรียกร้องมา 150,000 บาท คงให้จำเลยที่ 1 รับผิดเพียง 72,000 บาท ดังที่ได้วินิจฉัยมา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระค่าขาดราคาตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 13 วรรคหนึ่ง เป็นเงิน 72,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ