
[ผู้ลี้ภัย VS คนหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย: ไทยมีทางเลือกอย่างไรในการจัดการผู้ลี้ภัย]
.
ผู้ลี้ภัยเป็นเรื่องสากลที่ประเทศไทยเลี่ยงเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งมีทั้งประเด็นสิทธิมนุษยชน หน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และมนุษยธรรม
.
พบกับความรู้ทางกฎหมายหลากหลายและเข้าใจง่าย ชุดที่ 115 จาก #𝐓𝐔𝐋𝐀𝐖𝐈𝐧𝐟𝐨𝐠𝐫𝐚𝐩𝐡𝐢𝐜
.
ไทยมีหน้าที่พื้นฐานคุ้มครองผู้ลี้ภัย ด้วยการคัดกรองหรือคัดแยกออกจากคนต่างด้าวกลุ่มอื่นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีและคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตโดยการ “ไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยไปยังประเทศต้นทางที่ ผู้ลี้ภัยอาจถูกทรมานแก่ชีวิต” ซึ่งเป็นไปตามหลักห้ามผลักดันกลับใน ม.13 พรบ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย
.
มาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ผ่าน #𝙏𝙐𝙇𝘼𝙒 สรุปประเด็นที่น่าสนใจจาก บทความ “ผู้ลี้ภัย VS คนหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย — ไทยมีทางเลือกอย่างไรในการจัดการผู้ลี้ภัย” โดย อาจารย์พวงรัตน์ ปฐมสิริรักษ์
“ผู้ลี้ภัย VS คนหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย: ไทยมีทางเลือกอย่างไรในการจัดการผู้ลี้ภัย”
ผู้ลี้ภัยเป็นเรื่องสากลที่ประเทศไทยเลี่ยงเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งมีทั้งประเด็นสิทธิมนุษยชน หน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ และมนุษยธรรม
ประเด็นที่ชวนทำความเข้าใจ — ผู้ลี้ภัยต่างจากคนหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายอย่างไรและไทยมีทางเลือกตามกฎหมายต่อผู้ลี้ภัยอย่างไร ?”
คนหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายคือคนต่างชาติ (ต่างด้าว) ที่ฝ่าฝืนกฎหมายคนเข้าเมืองของไทยซึ่งอาจเข้ามาด้วยเหตุผลอย่างใดอย่างหนึ่งที่มิใช่การหนีภัยประหัตประหาร ส่วนผู้ลี้ภัยคือคนต่างชาติที่หนีอันตรายแก่ชีวิตมาจากประเทศตัวเองซึ่งมีทั้ง
(1) เข้าเมืองโดยฝ่าฝืนกฎหมายคนเข้าเมือง
(2) เข้าเมืองโดยถูกกฎหมาย
แต่ไม่ว่าผู้ลี้ภัยจะเข้าเมืองแบบใด “การหนีภัยประหัตประหารถึงชีวิต” เป็นเหตุให้ไม่อาจถูกลงโทษในฐานคนหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
ไทยมีหน้าที่พื้นฐานคุ้มครองผู้ลี้ภัย ด้วยการคัดกรองหรือคัดแยกออกจากคนต่างด้าวกลุ่มอื่นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการคัดกรองคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศอันเป็นภูมิลำเนาได้ พ.ศ. 2562 และคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตด้วยวิธีการแรกคือ ไม่ผลักดันผู้ลี้ภัยไปยังประเทศต้นทางที่ผู้ลี้ภัยอาจถูกทรมานแก่ชีวิต ซึ่งเป็นไปตามหลักห้ามผลักดันกลับ (non-refoulement) ใน ม.13 พรบ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565
ขณะที่ไทยไม่ได้มีหน้าที่รับผู้ลี้ภัยทุกคนให้อยู่ในไทยโดยถาวร สามารถสรุปทางออกที่ไทยทำได้ โดยไม่รวมถึง “การขังผู้ลี้ภัยไว้ในห้องกักยาวนานถาวร” ซึ่งจะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเป็นการะทำของรัฐที่ฝ่าฝืนต่อ พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 เอง ทั้งนี้ทางเลือกที่ถูกกฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายไทย และคำนึงถึงมนุษยธรรมได้แก่
(1) ส่งไปประเทศที่สามซึ่งเชื่อได้ว่าผู้ลี้ภัยจะไม่ถูกทรมาน/ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง โดยคำนึงถึงโอกาสและสิทธิอยู่ร่วมกับครอบครัวใกล้ชิดของผู้ลี้ภัย (คู่สมรส คู่ชีวิต และบุตร)
(2) ส่งกลับไปประเทศต้นทางได้เมื่อ “ตรวจสอบแน่นอนก่อนส่ง” ว่าจะไม่เผชิญอันตรายแก่ชีวิต โดยมิใช่ถือเอาการรับรองหลังส่งตัวหรือรับรองเชิงเอกสาร ทั้งนี้เพื่อเคารพต่อหลักห้ามผลักดันกลับในกฎหมายไทยและหน้าที่ตาม Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment
(3) การปล่อยให้ผู้ลี้ภัยอยู่ในประเทศไทย นอกห้องกัก โดยใช้มาตรฐานการรายงานตัวต่อรัฐไทยเช่นเดียวกับที่ใช้กับคนต่างชาติทั่วไป หรืออาจปล่อยตัวแบบมีประกันและรายงานตัวตาม ม.54 ประกอบ ม.19 และ 20 พรบ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ซึ่งเป็นการใช้กฎหมายคนเข้าเมืองแบบสร้างสมดุลระหว่างความสงบสุขของสังคมไทยและสิทธิของบุคคล