สรุปสาระสำคัญจากรายการถามทุกข์ ตอบสุข Special: “รู้กฎหมาย ไร้ปัญหาหนี้” ตอนที่ 2 ทำยังไงดี เจ้าหนี้จะมายึดทรัพย์!?!? จัดโดย noburo Wealth-Being ร่วมกับ ศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสนับสนุนโดย มูลนิธิสะสางและสร้างสรรค์
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน 2565 เวลา 19.00-20.00 น. ทาง Facebook Page : noburo Wealth-Being
วิทยากรโดยทนายอาสาโครงการให้ความช่วยเหลือประชาชนในการแก้ไขปัญหาหนี้สิน
- คุณฉัตรมงคล แนบเนียน
- คุณศุภสิน เจียรพาณิชย์พงศ์
ผู้ดำเนินรายการ
- คุณธิษณา ธิติศักดิ์สกุล noburo Wealth-Being
ขั้นตอนหลังจากศาลมีคำพิพากษาก็จะเข้าสู่กระบวนการยึดทรัพย์บังคับคดี โดยลูกหนี้จะได้รับคำบังคับ โดยเจ้าหนี้จะส่งคำบังคับมาให้ซึ่งมีเนื้อหากำหนดให้ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ภายในกำหนดเวลาที่ระบุไว้ หากลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว เจ้าหนี้จะมีสิทธิขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีได้ หลังจากเจ้าหนี้ได้หมายบังคับคดีก็จะนำส่งหมายเพื่อตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อไป ระยะเวลาในการขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีขึ้นอยู่กับความประสงค์ของเจ้าหนี้
การยึดทรัพย์ของลูกหนี้สามารถยึดได้ทุกอย่างที่เป็นของลูกหนี้ ยกเว้น ทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องที่กฎหมายกำหนดห้ามยึดเอาไว้ เช่น
1) ที่นอนปลอกหมอน เครื่องใช้ในครัวเรือน อาทิ นาฬิกาติดผนัง โต๊ะชุดรับแขก เครื่องใช้สอยส่วนตัว แต่ทั้งนี้ ถ้ามีราคาเกิน 2 หมื่นบาทก็อาจถูกยึดได้
2) เครื่องมือที่ใช้ในการประกอบอาชีพเท่าที่จำเป็น โดยมีมูลค่าไม่เกิน 1 แสนบาท กรณีปัญหาว่า รถที่ใช้ในการประกอบอาชีพสามารถถูกยึดได้หรือไม่ ถ้าเป็นอาชีพที่ต้องใช้รถในการประกอบอาชีพโดยสภาพ เช่น การขับรถแท็กซี การขับรถประจำทาง รถเป็นสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชีพจะยึดไม่ได้ ทั้งนี้รถนั้นจะต้องมีมูลค่าไม่เกิน 1 แสนบาท ถ้าเกินต้องขอศาลมิให้ถูกยึด แต่ถ้าเป็นอาชีพอื่นที่เพียงใช้รถในการอำนวยความสะดวก เช่น อาชีพค้าขายที่ต้องใช้รถในการขนย้ายสินค้า อาจถือได้ว่ารถไม่ได้จำเป็นในการประกอบอาชีพทำให้รถอาจถูกยึดรถได้
3) สิ่งของเครื่องใช้ที่จำเป็นที่ช่วยหรือแทนอวัยวะ เช่น ไม้เท้า ขาเทียม แขนเทียม
4) ของใช้ส่วนตัวโดยแท้ ได้แก่ หนังสือสำหรับวงตระกูล จดหมายหรือสมุดบัญชีต่าง ๆ
5) ทรัพย์ที่กฎหมายห้ามยึด เช่น ทรัพย์สินของแผ่นดิน ทรัพย์สินที่โอนกันมิได้
อย่างไรก็ดี การยึดทรัพย์ของลูกหนี้ในทางปฏิบัติ ทรัพย์ที่จะถูกยึดจะเป็นทรัพย์ที่มีมูลค่า เนื่องจากการยึดทรัพย์มีค่าใช้จ่าย ไม่เพียงแค่ค่ายึดทรัพย์ แต่รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาก่อนที่จะมีการขายทอดตลาด ซึ่งมักเป็นทรัพย์ที่มีทะเบียน เช่น ที่ดิน บ้าน รถ และมีกรณีต่าง ๆ ที่มีอาจเป็นไปได้ ดังนี้
กรณีอสังหาริมทรัพย์ จะมีหนังสือประกาศติดไว้กับอสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้เพื่อให้ลูกหนี้ทราบ และจะมีการส่งหนังสืออายึดไปยังสำนักงานที่ดินเพื่อแนบไว้กับโฉนดที่ดินที่จะถูกยึด
กรณีเงินเดือน ถ้าเงินเดือนเกิน 2 หมื่นบาทขึ้นไป ส่วนที่เกิน 2 หมื่นบาทถูกยึดอายึดได้ (รวมถึงเงินโบนัสด้วย) โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีจะมีการแจ้งลูกหนี้ และส่งหนังสืออายึดไปยังนายจ้าง เพื่อให้นายจ้างนำส่งเงินเดือนไปยังกรมบังคับคดีโดยตรง เมื่อนายจ้างได้รับหนังสือแล้วมีหน้าที่ส่งมอบเงินเดือนของลูกหนี้ไปยังกรมบังคับคดี หากฝ่าฝืนแล้วทำให้เจ้าหนี้เสียหาย นายจ้างจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้เสมือนเป็นลูกหนี้
ในกรณีที่มีหนังสืออายึดเงินเดือนมายังบริษัทแล้ว แต่ลูกหนี้มีความจำเป็นต้องใช้เงินเดือน อาจขอเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อตกลงลดจำนวนหรืออย่างใด ๆ ก็ได้ แต่หากว่าการเจรจาไม่เป็นผล ลูกหนี้มีสิทธิขอให้ศาลใช้ดุลพินิจพิจารณาปรับลดการยึดเงินเดือนได้
ในกรณีเจ้าหนี้เป็นธนาคารหรือสถาบันการเงิน ให้ติดต่อไปยังธนาคารสาขา จะดีกว่าติดต่อผ่าน call center ซึ่งเจ้าหน้าที่ในสาขาจะสามารถให้คำแนะนำตลอดจนขึ้นตอนวิธีในการดำเนินการได้ดีกว่า โดยในการเจรจาต่อรอง ลูกหนี้จะต้องมีเตรียมตัวไป คือมีแนวทางการดำเนินการให้เจ้าหนี้ว่าจะทำอย่างไรแทนได้บ้าง เช่น การให้ยึดทรัพย์อื่นของลูกหนี้ก่อน ในทางปฏิบัติเป็นไปได้ที่ธนาคารจะตกลงด้วยเนื่องจากการยึดอายึดเงินเดือนเพื่อมาทำชำระหนี้จะต้องใช้ระยะเวลาที่ยาวจนกว่าหนี้จะครบซึ่งนานกว่าการยึดทรัพย์สินอื่น ๆ
กรณีบัญชีเงินฝาก ไม่นับเป็นเงินเดือน เจ้าหนี้สามารถขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีส่งหมายอายัดยังธนาคารเพื่อยึดได้เลย แต่ถ้าเป็นกองทุนรวมหรือหุ้น แม้จะสามารถยึดอายัดได้เช่นกัน แต่ในทางปฏิบัติมักไม่ทำกัน เนื่องจากมีความยุ่งยากในการดำเนินการ
กรณีบ้านที่ไม่สามารถชำระค่างวดให้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินได้ จะถูกยึดหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาเสียก่อนว่า ฝ่ายใดมีชื่อเป็นเจ้าของบ้าน มี 2 กรณี คือ กรณีที่ลูกหนี้มีชื่อเป็นเจ้าของบ้าน ธนาคารสามารถดำเนินการบังคับคดีได้ตามปกติ ส่วนกรณีลูกหนี้ไม่ได้มีชื่อเป็นเจ้าของบ้าน เมื่อไม่ใช่ทรัพย์ของลูกหนี้ก็ย่อมยึดบังคับคดีไม่ได้
กรณีบ้านติดจำนองธนาคารในหนี้อื่นอยู่ บ้านจะถูกยึดบังคับคดีได้หรือไม่ ก็ต้องพิจารณาว่าบ้านที่ติดจำนองเป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหนี้หรือไม่ ถ้าเป็นของลูกหนี้ก็สามารถถูกยึดบังคับคดีได้ แต่ทั้งนี้ เจ้าหนี้จะต้องนำเงินที่ขายได้ชำระให้กับเจ้าหนี้ตามสัญญาจำนองก่อน
กรณีการยึดรถจากการที่ลูกหนี้จ่ายค่างวดล่าช้า 3 งวด ทำให้หนี้ค่ารถหมดไปหรือไม่ แล้วลูกหนี้จะนำเอารถไปขายเองก่อนถูกยึดได้หรือไม่ สามารถแยกได้เป็น 2 กรณี
กรณีรถติดไฟแนนซ์ รถเป็นกรรมสิทธิ์ของบริษัท ถ้าลูกหนี้ไม่จ่ายค่างวดตามกำหนด บริษัทก็จะเอาทรัพย์คนได้เลยในฐานะเจ้าของทรัพย์ การยึดรถคืนลักษณะนี้จึงไม่ใช่กระบวนการบังคับคดี มีประเด็นให้คิดว่าถ้าเกิดกรณีนี้ขึ้นควรปล่อยให้ยึดหรือไม่ ในทางปฏิบัติการขาดส่งค่างวดจนถูกแจ้งยึดคืน ลูกหนี้เจรจากับเจ้าหนี้ได้เสมอ แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความคุ้มทุน ถ้าจ่ายค่างวดใกล้หมดก็ควรเจรจาต่อรองเพื่อเอารถไว้จะดีกว่า แต่ถ้าเพิ่งเริ่มจ่ายแค่ไม่กี่งวดก็อาจปล่อยให้ถูกยึดไปดีกว่า แต่หากการเจรจาไม่เป็นผล หรือลูกหนี้ไม่คิดจะส่งค่างวดต่อแล้ว ปรากฏว่าถ้าเจ้าหนี้ไฟแนนซ์ได้เรียกรถคืน แต่ลูกหนี้ไม่ยอมโดยจะเอารถไปขายเองแล้วค่อยเอาเงินไปให้เจ้าหนี้ ลักษณะนี้อาจมีความผิดฐานยักยอกได้ เนื่องจากเป็นการขายทรัพย์รถที่เป็นของบริษัทไฟแนนซ์ ไม่ใช่รถของตนเอง
มีข้อควรระวังในกรณีของการยึดรถคืนโดยบริษัทไฟแนนซ์ว่า ลูกหนี้จะต้องระมัดระวังมิจฉาชีพที่อาจมาแอบอ้างด้วย โดยบุคคลที่จะมายึดรถจะต้องมีหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทหรือเอกสารใด ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย ในกรณีที่ไม่มีความมั่นใจว่าจะเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ ลูกหนี้อาจร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาเป็นพยานในการยึดรถได้
กรณีจำนำทะเบียน ไม่ได้มีโอนความเป็นเจ้าของรถเพียงแค่ให้เล่มทะเบียนกับเจ้าหนี้ไว้เท่านั้น ลูกหนี้ยังคงเป็นเจ้าของรถ ในกรณีที่ลูกหนี้ขาดส่งค่างวด เจ้าหนี้ต้องดำเนินการฟ้องร้องบังคับคดีตามปกติ
กรณีลูกหนี้ถึงแก่ความตาย ทายาทจะต้องรับผิดในหนี้ของผู้ตายหรือไม่นั้น มีหลักว่า ทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้นที่จะต้องรับผิด ดังนั้นแล้ว ทายาทจึงไม่ต้องรับผิดเกินทรัพย์มรดกที่ได้รับมา กล่าวอีกนัยคือ ถ้าจะถูกยึดทรัพย์บังคับคดีก็แต่เฉพาะทรัพย์ที่ได้รับมาเป็นมรดกเท่านั้น ทรัพย์สินอื่น ๆ ของทายาทไม่อาจถูกยึดได้นั่นเอง
อย่างไรก็ดี สิ่งซึ่งสำคัญที่สุดเมื่อมีการฟ้องร้องบังคับคดี เมื่อมีหมายศาลมายังลูกหนี้แล้วก็ควรไปศาล เพื่อจะมีได้ตกลงหรือเจรจากัน จะได้ไม่เสียเปรียบในการพิจารณาคดี และเพื่อป้องกันสิทธิของตัวเองด้วย ถึงกระนั้นการบังคับคดีควรเป็นวิธีการสุดท้าย ลูกหนี้ต้องอย่าปล่อยให้กระบวนการดำเนินไปจนถึงขั้นบังคับคดีเพราะถ้าหากถึงชั้นของการบังคับคดีที่มีคำพิพากษาออกมาแล้ว เจ้าหนี้จะอยู่ในฐานะที่ถือไผ่เหนือกว่าจะทำให้การเจรจาต่อรองยาก แต่ทั้งนี้แม้จะถึงขั้นการบังคับคดีแล้ว ลูกหนี้ก็ควรพยายามเข้าไปเจรจากับเจ้าหนี้เช่นกัน